วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันคริสต์มาส



คริสต์มาสคืออะไร

ความสำคัญของวันคริสต์มาส คริสต์มาส เป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งวันหนึ่ง ในศาสนาคริสต์ มิใช่เป็นวันสำคัญฝ่ายร่างกาย จัดงานรื่นเริงภายนอกเท่านั้น ซึ่งเป็นแต่เพียงเปลือกนอก ของการฉลองคริสต์มาส แต่แก่นแท้อยู่ที่ความรักของพระเจ้าที่ มีต่อโลกมนุษย์ นั่นคือ พระเจ้าทรงรักมนุษย์มากจน ถึงกับยอมส่งพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์ ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ มีเนื้อหนังมังสา ชื่อว่า เยซูการที่พระเจ้าได้ถ่อมองค์และเกียรติ ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น จากการเป็นทาสของความชั่ว และบาปต่างๆ นั่นเอง ดังนั้น ความสำคัญของวันคริสต์มาส จึงอยู่ที่การฉลองความรัก ที่พระเจ้ามีต่อโลกมนุษย์ อย่างเป็นจริงเป็นจัง และเห็นตัวตนในพระเยซูคริสต์ ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น


บรรยากาศคริสต์มาสในเมืองไทย มักจะเริ่มด้วยห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ จะตกแต่งห้างด้วยสีสันต่างๆ รวมทั้งต้นคริสต์มาส อันเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลคริสต์มาส กันอย่างหรูหรา สิ่งเหล่านี้ เป็นบรรยากาศที่ ชักจูงให้เราคิดถึง วันสำคัญของชาวโลกวันหนึ่ง ก็คือ วันคริสต์มาสซึ่งกำลังใกล้เข้ามาทุกนาทีนั่นเอง

วันคริสต์มาส คือ การฉลองวันประสูติของพระเยซู ผู้เป็นศาสดาสูงสุดของชาวคริสต์ทั่วโลก เป็นวันฉลองที่มีความสำคัญ และมีความหมายมากที่สุดวันหนึ่ง เพราะชาวคริสต์ถือว่า พระเยซู มิใช่เป็นแต่เพียงมนุษย์ธรรดาๆ ที่มาเกิดเหมือนเด็กทั่วไป แต่พระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด และมีพระธรรมชาติเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ในพระองค์เอง การบังเกิดของพระองค์ จึงเป็นเหตุการณ์พิเศษ ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนด้วย ….

ประวัติการประสูติพระเยซูเจ้า

ในเวลานั้น จักรพรรดิออกัสตัส รับสั่งให้ราษฎรทุกคนในอาณาจักรโรมัน ไปลงทะเบียนสำมะโนประชากร โยเซฟและมารีย์ ซึ่งมีครรภ์แก่ จึงต้องเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮม อันเป็นเมืองที่กษัตริย์ดาวิดประสูติ พอดีถึงกำหนดที่มารีย์จะคลอดบุตร เธอก็ได้คลอดบุตรชายหัวปี เธอเอาผ้าพันกายพระกุมารแล้ววางไว้ในรางหญ้า เนื่องจากตามโรงแรมไม่มีที่พักเลย


คืนนั้น ทูตสวรรค์ของพระเจ้า ปรากฎแก่พวกเลี้ยงแกะ พวกเขาตกใจกลัวมาก แต่ทูตสวรรค์ปลอบพวกเขาว่า อย่ากลัวไปเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอก คืนนี้เอง ในเมืองของกษัตริย์ดาวิด มีพระผู้ช่วยให้รอดประสูติ พระองค์นั้นเป็นพระคริสต์พระเป็นเจ้า นี่จะเป็นหลักฐานให้พวกท่านแน่ใจคือ พวกท่านจะพบพระกุมาร มีผ้าพันกายนอนอยู่ในรางหญ้าทันใดนั้น มีทูตสวรรค์อีกมากมาย ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าว่า

ขอเทิดพระเกียรติพระเจ้า ผู้สถิตย์ในสวรรค์ชั้นสูงสุด
สันติสุขบนพิภพ จงเป็นของผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย


ทำไมจึงวันฉลองคริสต์มาสวันที่ 25 ธันวาคม


ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ (ลก.23) บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าบังเกิดในสมัยที่ จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยมีคีรินิอัส เป็นเจ้าครองเมืองซีเรีย ซึ่งในพระคัมภีร์ ไม่ได้บอกว่า เป็นวันหรือเดือนอะไร แต่นักประวัติศาสตร์ให้เหตุผลว่า ทื่คริสตชนเลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองคริสต์มาส ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา เนื่องจาก ในปี ค.ศ. 274 จักรพรรดิเอาเรเลียน ได้กำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพผู้ทรงพลัง ชาวโรมันฉลองวันนี้อย่างสง่า และถือเสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะพระจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ คริสตชนที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รู้สึกอึดอัดใจ ที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ ตามประเพณีของชาวโรมัน จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 330 จึงเริ่มมีการฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการ และอย่างเปิดเผย เนื่องจากก่อนนั้น มีการเบียดเบียนศาสนาอย่างรุนแรง (ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 64-313) ทำให้คริสตชน ไม่มีโอกาสฉลองอะไรอย่างเปิดเผย

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

็HAPPY DADDY DAY

วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดย คุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็น ผู้ริเริ่ม

หลักการและเหตุผลที่มีการจัดตั้งวันพ่อ เนื่องจาก พ่อเป็นบุคคลผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนและตอบ แทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ

อีกทั้งยังทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและ พระราชธิดาที่ทรงรักใคร่ห่วงใย ตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน และพระเจ้าหลานเธอทุก ๆ พระองค์ต่างซาบซึ้ง ในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระ เมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นพระโอรสองค์เล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชกรมหลวงสงขลานครินทร์และพระบาทสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเสด็จพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมานท์ ออร์เบินณ์ เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสสาชูเซสท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระองค์ทรงมีพระเชษฐาธิราช (พี่ชาย) และพระเชษฐภคินี (พี่สาว) 2พระองค์คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8)

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

องค์พระปฐมเจดีย์

ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์

พระปฐมเจดีย์ หรือเดิมเรียกว่า พระธมเจดีย์ มีฐานะเป็นมหาธาตุหลวง ของแผ่นดินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า พระธมเจดีย์องค์นี้ อาจเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้น เมื่อคราวที่พระสมณทูต ในพระเจ้าอโศกมหาราช เดินทางมาเผยแผ่ศาสนายังสุวรรณภูมิ ก็เป็นได้ เพราะพระเจดีย์เดิม มีลักษณะทรงโอคว่ำ หรือทรงมะนาวผ่าซีก แบบเดียวกับพระสถูปสาญจี แต่ปรากฏว่ามียอดเป็นแบบปรางค์ ซึ่งพระองค์ฯ ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า อาจมีเจ้านายพระองค์ใดมาบูรณะไว้ก็เป็นได้ ซึ่งตรงกับความในศิลาจารึกหลักที่ 2 (ศิลาจารึกวัดศรีชุม) ของ พระมหาเถรศรีศรัทธาฯ อันได้กล่าวไว้ว่า พระมหาเถรศรีศรัทธาฯ ท่านทรงได้แวะมาบูรณะพระธมเจดีย์องค์นี้ ก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับเมืองราด เมื่อคราวที่ท่านเสด็จกลับจากศึกษาพระพุทธศาสนาที่ลังกา ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชทานนามใหม่ว่า พระปฐมเจดีย์ ด้วยทรงเชื่อ ว่านี่คือเจดีย์แห่งแรกของสุวรรณภูมิ นั่นเอง

ในเรื่องนี้ นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีบางท่าน ได้ระบุว่า พระปฐมเจดีย์ไม่ได้เป็นเจดีย์ที่เก่าที่สุดของสุวรรณภูมิ แต่เป็น พระมหาธาตุหลวง ในยุคทวารวดี มากกว่า เนื่องด้วยเหตุผลประกอบหลายประการ โดยเฉพาะ การค้นพบเจดีย์ ที่มีอายุเก่าแก่กว่าพระธมเจดีย์ และหลักฐานลายลักษณ์อักษร ที่ระบุว่า " พระเจดีย์องค์นี้ เดิม ขอมเรียก พระธม " ซึ่งไม่ว่าจะเป็นชาวขอมจริงๆ หรือชาวลวรัฐ ซึ่งสมัยนั้นเราก็เรียกว่าขอม เช่น ขอมสบาดโขลญลำพง คำว่า ธมสำหรับชาวขอมนั้น แปลว่า ใหญ่ ตรงกับคำเมืองว่า หลวง ซึ่งเราก็เรียกพระนครธม ว่า พระนครหลวง ด้วยเหตุผลเดียวกัน

นอกจากนี้พระบรมราชสรีรางคาร รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรจุที่ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม และฐานพระพุทธชินสีห์ วัดบวรนิเวศวิหาร ตามที่มีพระบรมราชโองการสั่งไว้ในพระราชพินัยกรรม ต่อมา ในพุทธศักราช 2529 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระอังคารของ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ 6 ไปบรรจุไว้เคียงข้างพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 6 ที่ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ลอยกระทง




ลอยกระทง

การ ลอยกระทง จะมีขึ้น ใน วัน ลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทยส่วนใหญ่ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย

กิจกรรมวัน ลอยกระทง

นำกระทง ไป ลอยกระทง ตามแม่น้ำลำคลอง หรือตามแหล่งน้ำที่มีการจัดพิธี ลอยกระทง
จัดนิทรรศการ พิธี ลอยกระทง เพื่อเผยแพร่และอนุรักษ์ประเพณีไทย
ให้การสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ในการ ลอยกระทง เช่น การประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ การละเล่นพื้นเมือง เช่น รำวงเพลงเรือ เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทย
จัดรณรงค์ให้มีการใช้วัสดุจากธรรมชาติมาทำกระทง เพื่อไม่ให้เกิดมลภาวะแก่แม่น้ำลำคลอง

เหตุผลในการลอยกระทง

ลอยกระทง เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา ลอยกระทง เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทและบูชาเทพเจ้า ลอยกระทง ตามคติความเชื่อ ลอยกระทง เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้ มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา เพื่อรู้ถึงคุณค่าของน้ำหรือแม่น้ำลำคลอง อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต

การ ลอยกระทง ในยุคปัจจุบัน

การ ลอยกระทง ในปัจจุบัน ยังคงรักษารูปแบบเดิมเอาไว้ได้ตามยุค เมื่อถึงวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 1 2 ชาวบ้านจะจัดเตรียมทำกระทงจากวัสดุที่หาง่ายตามธรรมชาติ เช่น หยวกกล้วย และดอกบัว นำมาประดิษฐ์เป็นกระทงสวยงาม ปักธูปเทียนและดอกไม้ เครื่องสักการบูชา ก่อนทำการลอยในแม่น้ำก็จะอธิษฐานในสิ่งที่มุ่งหวังพร้อมขอขมาต่อพระแม่คงคา ตามคุ้มวัดหรือสถานที่จัดงานหลายแห่ง มีการประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ และมีมหรสพสมโภชในตอนกลางคืน นอกจากนั้นยังมีการจุดดอกไม้ ไฟ พลุ ตะไล ซึ่งในการเล่นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ วัสดุที่นำมาใช้ทำกระทง ควรเป็นของที่สามารถย่อยสลายได้ง่ายตามธรรมชาติ วันลอยกระทง สนุกกับการ ลอยกระทง นะค่ะ

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บ้านดงบัง

สมุนไพรกับการท่องเที่ยวดูจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเท่าไร แต่ที่ บ้านดงบัง จ.ปราจีนบุรี ได้รวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันอย่าลงตัว ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ให้ทั้งความบันเทิงและองค์ความรู้ด้านการปลูก การเก็บเกี่ยว แปรรูป พร้อมทั้งสรรพคุณนานาประการของสมุนไพรไว้อย่างครบครัน นอกจากนั้นยังได้ลิ้มรสอาหารเมนูสมุนไพร ผ่อนคลายความเมื่อยล้าด้วยการนวดตามแบบฉบับอโรมา เธอราพี พร้อมทั้งมีที่พักแบบโฮมสเตย์ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติของชนบท

จุดเริ่มของการท่องเที่ยว
หมู่บ้านท่องเที่ยวสมุนไพร 'ดงบัง' หมู่บ้านเล็กๆ ในตำบลดงขี้เหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เกิดภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างแท้จริง ด้วยหมู่บ้านแห่งนี้เป็นแหล่งปลูกสมุนไพรแหล่งสำคัญ ที่ป้อนให้โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (โรงพยาบาลที่นำการแพทย์พื้นบ้าน และสมุนไพรมาผสมผสานกับการรักษาแผนปัจจุบัน) มาตั้งแต่ปี 2543 ทำให้ชาวบ้านได้นำความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย มาใช้ในการเพาะปลูกและแปรรูปสมุนไพร อีกทั้งยังได้นำการปลูกพืชแบบเกษตรอินทรีย์ ที่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรแนะนำมาใช้ จนได้เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีคุณภาพ ปราศจากสารปนเปื้อน จนหมู่บ้านดงบังเป็นที่กล่าวถึงไปทั่ว เกษตรกรจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศแห่แหนกันมาศึกษาดูงานและนำความรู้ที่ได้ ไปพัฒนาการปลูกพืชในท้องถิ่นของตนเอง เมื่อองค์กรต่างๆ เข้ามาดูงานกันมากขึ้นหลายฝ่ายจึงเห็นตรงกันว่า น่าจะพัฒนาให้หมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมีสมุนไพรนานาชนิดเป็นจุดขาย จึงเกิดเป็นโครงการ หมู่บ้านท่องเที่ยวสมุนไพร ขึ้นเมื่อปี 2548

พาชมการปลูกและแปรรูป
โดยเป็นการท่องเที่ยวที่นำสมุนไพรมาเป็นจุดขาย นอกจากจะนำองค์ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรมาถ่ายทอดให้นักท่องเที่ยวได้รู้แล้ว กิจกรรมต่างๆ ก็ยังเกี่ยวพันกับสมุนไพรทั้งหมด ซึ่งผู้ที่เข้ามาจะได้รู้ว่าทำอย่างไรพืชผักที่ไม่ใช้สารเคมีจึงจะงอกงามและออกดอกออกผลดี รู้ถึงวิธีการแปรรูปและสรรพคุณต่างๆ ของสมุนไพร ได้กินอาหารที่ทำจากสมุนไพรซึ่งรับรองได้ว่าอร่อยมากๆ บ้านดงบังนับเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวสมุนไพรแห่งแรกของไทย โดยเป็นการท่องเที่ยวแบบครบวงจร ผู้ที่มาเยือนจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่การปลูกสมุนไพร การเก็บเกี่ยว และการแปรรูป โดยจะมีชาวบ้านและลูกๆหลานๆ เป็นไกด์นำชมสวนสมุนไพรพร้อมทั้งอธิบายถึงขั้นตอนการปลูก การแปรรูป รวมทั้งสรรพคุณของสมุนไพรแต่ละตัวด้วย โดยเส้นทางท่องเที่ยวในหมู่บ้านสมุนไพรนั้นจะพาท่านไปชมแปลงเพาะปลูกพืชผักสมุนไพรนานาชนิด ดูโรงตากและอบสมุนไพรที่ใช้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ โรงบดสมุนไพรก่อนที่จะนำไปแปรรูป โรงงานแปรรูปสมุนไพรให้เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น น้ำพริกสมุนไพรหญ้าปักกิ่ง สะเดาอบแห้ง น้ำมันเหลือง ลูกประคบสมุนไพรชนิดแห้ง ชุดสมุนไพรสำหรับอบตัว และโรงทำปุ๋ยหมัก หากเมื่อยล้าจากการเดินก็มีบริการสปาเพื่อสุขภาพ มีทั้งบริการนวดฝ่าเท้า นวดแผนไทย อบตัว และประคบด้วยสมุนไพร โดยจะใช้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรที่ชาวบ้านปลูกขึ้นเอง หรือหากต้องการจะค้างคืนก็มีที่พักแบบโฮมสเตย์ไว้บริการ อีกทั้งมีผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรชนิดต่างๆจำหน่ายให้แก่ผู้สนใจด้วย

ชิมเมนูสมุนไพร
เสน่ห์อีกอย่างที่สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนบ้านดงบังก็คือ เมนูสมุนไพรเลิศรสที่บรรดาแม่ครัวหัวป่าก์ได้นำเอาพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านมาปรุงแต่ง เป็นอาหารจานเด็ดไว้จำหน่ายแก่นักเที่ยว ซึ่งอาหารเหล่านี้ล้วนแต่ช่วยบำรุงร่างกายและมีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ยำผักกะสัง ผักน้ำต้นอวบอ้วนที่เรารู้จักในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ครั้งสมัยเด็กๆ ถูกนำมาคลุกรวมกับมะม่วงซอย แครอท ขิงซอย หอมแดง โหระพา ใบสะระเหน่ พริกสดซอยเป็นชิ้นยาว เพิ่มรสชาติเค็มมันด้วยกุ้งแห้งตัวโต และถั่วลิสงบดหยาบ ราดด้วยน้ำยำสามรสที่ปรุงจากน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี และพริกขี้หนูทุบ รับประทานคู่กับหมูหยอง เข้ากันอย่าบอกใคร ที่สำคัญยำผักกะสังจานนี้มิใช่แค่มีรสชาติถูกปากและไขมันเหมาะกับสาวๆ ที่ลดความอ้วนเท่านั้นแต่ยังมีสรรพคุณ ในการต่อต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็ง "ยำผักกะสังข์นี่เกิดจากแนวคิดที่ว่าผักกะสังข์เป็นผักที่ดูดสารอาหารทุกอย่างไว้ในลำต้น รวมทั้งสารเคมีและสารพิษต่างๆด้วย แต่เมื่อชาวบ้านดงบังสามารถปลูกพืชแบบเกษตรอินทรีย์หรือพืชผักปลอดสารพิษได้แล้ว ผักทุกอย่างของเราก็จะปลอดสาร 100% เราต้องการให้นักท่องเที่ยวเห็นว่าแม้แต่ผักกะสังข์ซึ่งเป็นพืชที่ดูดสารพิษได้มากที่สุดจนคนสมัยก่อนไม่กล้ากินผักชนิดนี้ แต่เราสามารถนำผักกะสังข์มาปรุงเป็นอาหารได้เพราะปัจจุบันดินและน้ำของเราปลอดสารพิษอย่างสิ้นเชิง" อีกจานหนึ่งที่ทั้งแปลกและอร่อยก็คือแกงไพลม่วงกับปลาดุก รสชาติกลมกล่อม เผ็ดนำตามแบบฉบับแกงทั่วไป ตามด้วยเค็มจากน้ำปลาดี และหวานปะแล่มจากหัวกะทิเข้มข้น เนื้อของไพลม่วงสดที่ฝานเป็นชิ้นพอคำเคี้ยวหนึบหนับคล้ายหน่อไม้ดองแต่รสชาติอร่อยไปอีกแบบ ไพลม่วงเป็นพืชตระกูลไพล มีสรรพคุณในการขยายหลอดเลือด ขับลม ขับประจำเดือน และเป็นยาระบายอ่อนๆ ปัจจุบันเป็นพืชท้องถิ่นของบ้านดงบังซึ่งชาวบ้านช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้ นอกจากนั้นยังมีอาหารจานสมุนไพรที่ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกหลากหลายเมนู อาทิ ส้มตำลูกยอ ยำใบบัวบก แกงขี้เหล็ก น้ำพริกปลาทูสด ส่วนเครื่องดื่มก็มีน้ำสมุนไพรต่างๆ ที่ให้รสชาติหวานหน่อยๆ ดื่มแล้วชื่นใจแบบไม่ผสมน้ำตาล เช่น น้ำหญ้าปักกิ่ง ชุมเห็ดเทศ อัญชัน รางจืด กระชาย กระเจี๊ยบแดง ขิง มะตูม ใบบัวบก ซึ่งสมุนไพรแต่ละชนิดก็มีสรรพคุณที่แตกต่างกันไป อาทิ หญ้าปักกิ่ง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้านเซลมะเร็งประเภทมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม , ชุมเห็ดเทศ มีสรรพคุณแก้ปวดท้อง เป็นยาระบาย แก้หอบหืด แก้แพ้ ลดการอักเสบ และช่วยรักษาโรคเบาหวาน , อัญชัน ทำให้เลือดไหลเวียนดี ขับปัสสาวะ บำรุงสายตา และช่วยต้านอนุมูลอิสระอันเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็ง , รางจืด มีคุณสมบัติช่วยถอนพิษ แก้แพ้ แก้ท่องร่วง ปัจจุบันนิยมดื่มเพื่อแก้อาการเมาค้าง


' เพชรสังฆาต' สมุนไพรประจำถิ่น
บ้านดงบังมีสมุนไพรขึ้นชื่อมากมายหลายชนิด อาทิ หญ้าปักกิ่ง ฟ้าทะลายโจร ยอ เพกา ชุมเห็ดเทศ เสลดพังพอน ฯลฯ ซึ่งบางชนิดเป็นสมุนไพรหายากแต่กลับพบมากที่นี่ เช่น เพชรสังฆาต ไพรม่วง โดยเฉพาะเพชรสังฆาตหรือที่ในบางพื้นที่เรียกว่าตำลึงทองนั้น ดูจะเป็นสมุนไพรที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักแต่จัดเป็นพืชท้องถิ่นของบ้านดงบัง มีสรรพคุณเด่นในด้านการสมานกระดูก จนหมอยาแถวเพชรบุรีเรียกต้นเพชรสังฆาตว่า ต้นต่อกระดูก นอกจากนั้นยังช่วยรักษาอาการประจำเดือนผิดปกติ ไข้หวัด รักษาโรคมะเร็งและโรคริดสีดวงทวารอีกด้วย สำหรับวิธีนำต้นเพชรสังฆาตมาใช้รักษาโรคนั้นมีหลายวิธี อาทิ การสมานกระดูกให้นำเถาเพชรสังฆาตที่ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป ตำผสมกับเหล้าแล้วทาบริเวณที่กระดูกหัก นำรากหรือใบมาตำให้ละเอียดพอกตรงที่กระดูกหัก หากมีอาการไข้หวัดให้นำต้นเพชรสังฆาตมาต้มดื่มต่างน้ำ ส่วนผู้ที่เป็นโรคมะเร็งให้นำเพชรสังฆาตมาต้มรวมกับต้นเหงือกปลาหมอ ทองพันชั่งและหัวร้อยรู กรองเอาแต่น้ำมาดื่ม สำหรับวิธีรักษาโรคริดสีดวงนั้นต้องรับประทานสดๆ แต่เนื่องจากเพชรสังฆาตมีผลึกแคลเซียมอ๊อกซาเลทสูง การเคี้ยวหรือสัมผัสโดยตรงจึงอาจทำเกิดอาการระคายเคือง วิธีรับประทานจึงควรนำเถาเพชรสังฆาตสด 2-3 องคุลี หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สอดไว้ในชิ้นแตงกวาหรือกล้วยหั่น แล้วกลืนลงไป หรือนำผงเพชรสังฆาตตากแห้งมาคลุกกับมะขามเปียก เพื่อให้กรดที่มีอยู่ในมะขามช่วยฆ่าพิษจากผลึกแคลเซียมอ๊อกซาเลทที่อยู่ในพชรสังฆาต จากนั้นปั้นป็นลูกกลอนเล็กๆ รับประทานวันละ 3 ครั้ง อย่างไรก็ดี ปัจจุบันโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้ผลิตเพชรสังฆาตแบบแคปซูล สำหรับรักษาอาการโรคริดสีดวงทวารด้วย

เสน่ห์แห่งภูมิปัญญา
นอกจากธรรมชาติ ป่าไม้และต้นไม้ใหญ่ๆ ที่หาได้ยากในหมู่บ้านที่อยู่ในเขตเมือง ซึ่งเป็นจุดเด่นของที่นี่แล้ว เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวหมู่บ้านสมุนไพรดงบังก็คือภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยชาวบ้านได้นำความรู้ที่ตกทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายมาปรับใช้กับวิถีปัจจุบัน การนำสมุนไพรมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ นั้น นับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ ล่าสุดมีการนำสะเดาสดมาอบแห้ง เพื่อให้สามารถเก็บรักษาสะเดาเอาไว้รับประทานได้ตลอดทั้งปี โดยเวลารับประทานก็เพียงแต่ นำสะเดาอบซึ่งบรรจุอยู่ในซองสุญญากาศออกมาแช่น้ำไว้ประมาณ 5 นาที เราก็จะได้สะเดาที่มีรสชาติไม่แตกต่างจากสะเดาสดทั่วไป ซึ่งสะเดาอบบ้านดงบังของแห้งนั้นจำหน่ายในราคาเพียงแพคละ 15 บาทเท่านั้น ในขณะที่ในช่วงนอกฤดูกาลราคาสะเดาสดจะสูงถึงกำละ 20 บาทเลยทีเดียว เนื่องจากในช่วงหน้าสะเดาจะมีสะเดาออกมาเยอะมาก ทำให้ราคาตก แต่ช่วงนอกฤดูราคาจะสูงมากแต่ไม่มีของขาย เราก็เลยมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถเก็บสะเดาเอาไว้ได้นานๆ โดยที่คุณภาพไม่เปลี่ยนแปลง ก็นึกถึงมะกรูดที่เขาเอามาอบแห้งก็เลยลองนำสะเดามาอบแห้งดู ปรากฏว่าตอนเอามาใช้แค่แช่น้ำก็ลับเป็นสะเดาสดเหมือนเดิม เราสามารถนำออกขายในช่วงนอกฤดูซึ่งได้ราคาดีกว่า แต่เราตั้งราคาขายต่ำกว่าสะเดาสด เพื่อให้ผู้บริโภคได้กินสะเดาในราคาที่ถูกลงด้วย หมู่บ้านท่องเที่ยวสมุนไพรดงบังนับเป็นการนำทรัพยากรท้องถิ่นและภูมิปัญญาชาวบ้าน มาเป็นจุดขายในการท่องเที่ยวได้อย่างชาญฉลาด ทุกคนที่ได้เข้ามาสัมผัสต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า อดหลงเสน่ห์ของหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เพียงความหลากหลายของสมุนไพรนานาชนิดเท่านั้นแต่น้ำจิตน้ำใจ และความใสซื่อของชาวบ้านที่ให้การต้อนรับอย่างไร้จริตนั้น ดูจะเป็นเสน่ห์ร้ายที่มัดใจผู้มาเยือนได้ชงัดนัก

วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

นมแพะ

นมแพะกับคุณประโยชน์ทั้ง 6 ประการ

นมแพะทุกหยด ลดภูมิแพ้

เรื่องของนมแพะกับโรคภูมิแพ้มักจะเป็นเรื่องที่พูดถึงกันอยู่เสมอ การดื่มนมแพะเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โรคภูมิแพ้บรรเทาลงและหายในที่สุด เป็นคำยืนยันของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่หันมาบริโภคนมแพะเป็นประจำแทนการกินยา

กลไกการบำบัดโรคของนมแพะ

ไขมันในนมแพะที่มีบทบาทต่อระบบภูมิต้านทาน คือ กรดไขมันจำเป็นซึ่งได้แก่กรดไขมันลิโนเลอิค ซึ่งในน้ำนมแพะมีสูงถึง 0.95 กรัม/100 กรัม และกรดไขมันจำเป็น แอลฟาลิโนเลอิค (กลุ่มโอเมก้า 3 ซึ่งในนมแพะมี อยู่ประมาณ 0.03 กรัม/ 100 กรัม) ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นตัวเพิ่มภูมิต้นทานให้แก่ร่างกาย

นอกจากนี้ยังมี กรดไขมันไม่อิ่มตัวสายโซ่สั้นและกลาง ซึ่งถือว่าเป็นกรดไขมันหลักที่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค ได้แก่ คาโพรอิค, คาพรีลิก และคาพริก ซึ่งมีอยู่ในน้ำนมแพะรวมถึง 0.46 กรัม/ 100 กรัม

อย่างไรก็ตาม ไขมันในน้ำนมแพะยังเป็นตัวลำเลียงวิตามินที่มีส่วนเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายอีกด้วย เช่น วิตามินเอ และอี เป็นต้น

โปรตีนในน้ำนมแพะโดยรวมช่วยในการผลิตและรักษาปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวให้คงที่และช่วยให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย จะมีการหลั่งสารแอนตีฮิสตามินออกมา ส่งผลเสริมสร้างภูมิต้านทานต่อการเกิดภูมิแพ้ในร่างกาย โปรตีนนมโดยเฉพาะซัลเตอีน เป็นองค์ประกอบสำคัญของกลูตาไทโอน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน มีรายงานพบว่า การแบ่งเซลล์และประสิทธิภาพในการดักจับสิ่งแปลกปลอมของเม็ดเลือดขาวลิมไพไซด์ จะมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อเซลล์ขาดสารกลูตาไทโอน

วิตามินในนมแพะมีส่วนช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เช่น

วิตามินเอ ในนมแพะต่างจากนมโค ซึ่งอยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน แต่ในนมแพะจะอยู่ในรูปของวิตามิน เอ โดยตรง ซึ่งจะช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์ที่ดักจับเชื้อโรค ที่เข้าสู่ร่างกายและยังทำหน้าที่เป็นด่านป้องกันเชื้อโรคในส่วนเยื่อบุผนังปาก ปอด และ ลำไส้ ฯลฯ

วิตามิน บี6 ช่วยเซลล์เม็ดเลือดขาวสร้างแอนติบอดี้

วิตามิน ซี ป้องกันเซลล์เม็ดเลือดนิวโทรฟิล ซึ่งทำหน้าที่ดักจับเชื้อแบคทีเรียและช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย หรือสิ่งสกปรกที่เกิดจากสภาพแวดล้อม สารเคมี และควันบุหรี่

วิตามิน ดี ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม จากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ทำให้กระดูกแข็งแรง และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้

วิตามิน อี ช่วยเพิ่มการสร้างแอนติบอดี้ ช่วยสร้างเสริมการทำงานของ ทีเซลล์ ซึ่งทำหน้าที่หลักในการป้องกันการติดเชื้อร่วมกับ บีเซลล์

นอกจากนี้ วิตามิน อี ยังเป็นวิตามินที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและยังช่วยปรับสมดุลของน้ำและไขมันในชั้นผิวหนังและรักษาความชุ่มชื่นของผิวพรรณให้สดใส เรียบเนียนอีกด้วย อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายสามารถทนต่อรังสี UV ในแสงแดดได้ดีขึ้น

พบว่าในเกลือแร่ในนมแพะ ได้แก่ แคลเซียมมีฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ด้วย โดย

แคลเซียม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวกับลิมโพไซด์ในการจับเกาะสิ่งแปลกปลอม เพิ่มการหลั่งสารในตัวกลาง ปฏิกิริยาการสร้างภูมิคุ้มกัน

ซิลีเนียม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์ที่ทำหน้าที่ภูมิคุ้มกัน สังกะสี ช่วยสร้างและเสริมการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว นิวโทรฟิล และเซลล์ดักจับ รวมทั้งป้องกันเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายโดยการลดไซโตไคท์ ซึ่งควบคุมการบวมอักเสบและสร้างบีและที เซลล์ให้แก่ร่างกาย

ลดปัญหาเรื่องไขมัน ป้องกันได้ด้วยนมแพะ

อันตรายของการมีระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดสูง

เมื่อร่างกายมีระดับคลอเลสเตอรอลสูงเกินความต้องการ ไม่ว่าจะเกิดจากการที่ร่างกายสร้างขึ้นจากตับหรือได้รับอาหาร ปริมาณคลอเลสเตอรอลส่วนเกินจะไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดและมีแนวโน้มที่จะเกาะกับผนังเส้นเลือด เมื่อมากขึ้นจะทำให้เส้นเลือดมีขนาดเล็กลง ความยืดหยุ่นของเส้นเลือดน้อยลงโดยเฉพาะเส้นเลือดหัวใจ ซึ่งเรียกว่า Atherosclerosis มีผลทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลง ส่งผมให้เกิดโรคหัวใจหรือเส้นเลือดในสมองแตกได้ หรืออาจเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ หรือเป็นโรคบางอย่าง เช่น โรคไต โรคตับ โรคเบาหวานที่ไม่ได้รับการรักษา โรคต่อมไทรอยด์ทำงานได้น้อย เป็นต้น และไม่ว่าคลอเลสเตอรอลในเลือดจะสูงจากสาเหตุใดก็ตาม ก็สามารถคุกคามให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งได้เหมือนกัน โอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือดสูง ร่างกายปกติระดับคลอเลสเตอรอลอยู่ในช่วง 150-250mg/dl ส่วนระดับของไตรกลีเซอไรด์จะอยู่ระหว่าง 35-160 mg/dl ซึ่งหากผลการตรวจสอบระดับคลอเลศเตอรอลสูง มักจะพบระดับของไตรกลีเซอไรด์สูงตามด้วยปัจจัยเสี่ยงต่อผู้มีระดับคลอเลสเตอรอลสูง ได้แก่ ผู้ที่สูบบุหรี่และผู้ที่มีความดันโลหิตสูงจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจสูง

กลไกการบำบัดโรคของนมแพะ

คุณสมบัติพิเศษของนมแพะในเรื่องดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับกรดไขมันที่มีอยู่ในนมแพะ ได้แก่ คาโพรอิก คาพรีลิก และคาพริก กรดไขมันเหล่านี้ จะช่วยสลายการสะสมคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และยังช่วยปรับระดับไขมันในเลือดให้เลือดหมุนเวียนได้สะดวก จึงช่วยลดการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและโรคหัวใจขาดเลือดได้

ดังนั้น เพื่อเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย โดยเฉพะคนที่เป็นภูมิแพ้ควรดื่มนมแพะประจำ ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิต้านทานมากขึ้น

นอกจากนี้ นมแพะยังมีกรดไขมันชนิดพิเศษที่วงการแพทย์ให้ความสนใจวามีส่วนช่วยยับยั้งการสร้างคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และยังช่วยสลายนิ่วในถุงน้ำดีได้อีกด้วย

วิธีเลือกซื้อนมแพะที่มีมาตรฐาน ควรพิจารณาจาก

- นมแพะที่ได้ อย. จากกระทรวงสาธารณสุข

- นมแพะที่ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรส์ เพื่อความสะอาด และคงความสดของน้ำนมได้ดีกว่าวิธีอื่น

- นมแพะที่ผลิตจากโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน ซึ่งมีการควบคุมคุณภาพ และมีประสิทธิภาพในการผลิตโดยปศุสัตว์และผ่านมาตรฐานสินค้าคุณภาพ

แวมไพร์

ตำนานแวมไพร์

ตำนานแวมไพร์กับเรื่องราวความเป็นมาของแวมไพร์จากแหล่งต่างๆทั่วโลก
แวมไพร์ เรื่องจริงหรืออิงนิยาย

ตำนานแวมไพร์มีมานานนับเป็นพันๆปี เรียกว่าอยู่คู่กับประวัติศาสตร์มนุษย์ก็คงจะได้

แวมไพร์มิได้หมายถึงผีดูดเลือดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ชนชาติต่างๆทั่วโลกต่างก็มีแวมไพร์ในแบบฉบับของตัวเอง ไล่ไปตั้งแต่แวมไพร์ฝรั่งผมบลอนด์ แวมไพร์จีน แวมไพร์ญี่ปุ่น ไปจนถึงแวมไพร์มาเลเซีย แบบที่เรียกกันว่า เพนังกะลัง

อย่างไรก็ตาม แวมไพร์ที่เราๆท่านๆคุ้นเคยกัน ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะกลายพันธ์ และภาพลักษณ์ไปหมด ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจาก อิทธิพลของหนังสือและภาพยนต์ ซึ่งร้อยทั้งร้อย ล้วนมาจากยุโรปและอเมริกาทั้งสิ้น จุดกำเนิดของตำนานแวมไพร์มาจากตะวันออกไกลครับ มันกระจายมาโดยผ่านเส้นทางจากจีน - ธิเบต - อินเดีย - ผ่านเส้นทางที่เรียกกันว่าทางสายไหมเข้าสู่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตำนานนี้กระจายไปทั่วประเทศแถบทะเลดำ คาบสมุทรบอลข่าน รวมไปถึงฮังการี่ และดินแดนที่เราคุ้นเคยกัน ทรานซิลวาเนีย

ปัจจุบัน แวมไพร์ในความนึกคิดของเรามักจะเป็นไปในแนวของ ปีศาจดูดเลือด, ผู้ที่ฟื้นคืนชีพจากความตาย, ดำรงชีวิตได้เฉพาะยามค่ำคืน สามารถกลายร่างเป็นค้างคาวได้ คุณสมบัติพวกนี้เป็นแวมไพร์ของยุโรป และในหนังผีครับ จริงๆแล้วแวมไพร์มีคุณสมบัติที่หลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เรามาดูกันดีกว่าว่า แวมไพร์ของแต่ละชนชาตินั้นเป็นอย่างไร

SLAVIC VAMPIRES

ชาวสลาฟเป็นชาติที่ร่ำรวยเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์มากที่สุดในยุโรปตะวันออก ดินแดนนี้กินพื้นที่ตั้งแต่ รัสเซีย บุลแกเรีย เซอร์เบียร์ จนกระทั่งถึงโปแลนด์ ความเชื่อพวกนี้ฝังรกรากมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 แน่ะ แหล่งชุมนุมแวมไพร์ที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่ที่ เมือง Magyars ซึ่งปัจจุบันเป็นพรมแดนต่อกันระหว่างประเทศฮังการีกับโรมาเนีย คำว่าแวมไพร์ก็มาจากภาษาของพวกเขานี่แหละครับ แวมไพร์พวกนี้จะมีเล็บมือและผมที่ทั้งยาวทั้งสกปรก มุมปากมีคราบเลือดเกรอะกรัง ไม่ชอบสุงสิงกับผู้คน วิธีการปราบแวมไพร์ของชาวสลาฟก็คือจับทำบาร์บีคิวครับ เผาทั้งเป็นเลย หรือไม่ก็พรมน้ำมนต์ที่ได้มาจากโบสถ์ใส่พวกมันก็ได้


ROMANIA

เนื่องจากโรมาเนียถูกแวดล้อมไปด้วยประเทศของชนชาติสลาฟ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าแวมไพร์ของพวกเค้าจะกระเดียดไปทางแวมไพร์เชื่อสายสลาฟนิดๆ ภาษาพื้นเมืองของโรมาเนียนั้น เรียกแวมไพร์ว่า Strigoi ครับ อาจจะหมายถึง นกฮูกแก่ๆ หรือปีศาจก็ได้ทั้งนั้น Strigoi มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน Strigoi ส่วนมากคือพวกผู้ใช้คาถา ซึ่งจะกลายเป็นแวมไพร์เมื่อตายแล้ว เจ้า Strigoi พวกนี้จะถอดวิญญาณออกจากร่างไปเพื่อชุมนุมกันในคืนพระจันทร์เต็มดวง หรือไม่ก็ออกตระเวนดูดเลือด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกในครอบครัว หรือไม่ก็เพื่อนบ้านใกล้เคียง
คนที่เกิดมาโดยมีสัญญลักษณ์ของปีศาจ (มีหาง เขี้ยวงอก ขนดกรุงรัง) หรือคนที่ตายอย่างผิดธรรมชาติ หรือตายโดยที่ยังไม่ได้ทำพิธีรับศีล พวกนี้มีสิทธิจะเป็นแวมไพร์ได้ทั้งนั้น ถ้าครอบครัวไหนมีลูกเพศเดียวกันถึงเจ็ดคน คนที่เจ็ดนั่นแหละครับ แวมไพร์มาเกิด พวกผู้หญิงแถวนั้นเวลาท้องพวกเธอต้องกินเกลือครับ เพื่อป้องกันลูกที่อยู่ในครรภ์ ส่วนพวกสุดท้ายที่มีสิทธิเป็นแวมไพร์ชัวร์ๆ คือพวกที่โดนแวมไพร์กัดเอา

แวมไพร์ เรื่องจริงหรืออิงนิยาย

ยังมีตำนานอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวพันกับเรื่องของแวมไพร์อย่างใกล้ชิดครับ คิดว่าเราๆท่านๆก็คงคุ้นเคยกัน นั่นคือเรื่องราวของมนุษย์หมาป่านั่นเอง ตำราเค้าว่าไว้ว่ามีมนุษย์พวกหนึ่ง เมื่อถึงวันดีคืนดี จะมีปฏิกิริยากับดวงจันทร์ หรือดวงอาทิตย์ จนสามารถกลายร่างเป็นหมาป่า หมาดำ หรือแม้แต่หมูได้(อันนี้ไม่เคยได้ยินแฮะ^^)สิ่งกลายพันธ์พวกนี้ศัพท์วิชาการเค้าเรียกLycanthropy ชาวโรมาเนียมีตำนานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากมายพอๆกับแวมไพร์เลยทีเดียว

ว่ากันว่าแวมไพร์นั้นจะแหวกหลุมศพขึ้นมาบนพื้นโลกเมื่อถึงเวลาอันควร มันมีใบหน้าที่ซีดเซียว ลมหายใจเหม็นเปรี้ยว และไม่ยอมแตะต้องอาหารที่มีส่วนประกอบของกระเทียมอย่างเด็ดขาด บ้านใดที่สงสัยว่าสมาชิกในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้วจะกลายเป็นแวมไพร์มักจะไปเปิดหลุมศพดูว่าศพยังอยู่หรือไม่ เค้ามีเวลาในการสำรวจหลุมศพดังนี้คะ ถ้าเป็นเด็กก็สามปีหลังการตาย ห้าปีสำหรับหนุ่มสาว และเจ็ดปีถึงจะเปิดสำหรับผู้ใหญ่ที่โตแล้ว

วิธีสังหารแวมไพร์ดูจะคล้ายๆกันทุกที่เลยคะ กล่าวคือ เมื่อชาวโรมาเนียพบหรือสงสัยว่าใครเป็นแวมไพร์ จะโดนจับเอากระเทียมยัดจนเต็มปากแล้วเอามาเผาไฟ หลุมศพใดที่ต้องสงสัยว่าเป็นแหล่งพำนักกายของแวมไพร์ก็จะมีการยิงกระสุนเงินทะลุฝาโลงเข้าไป ถ้าถุกแจ็คพอทเจอแวมไพร์ โลงนั้นจะมีไฟลุกพรึ่บดูสวยงามทีเดียวเชียวคะ(ฟังดูเว่อร์ๆ)

GYPSIES AND VAMPIRES

สำหรับคอหนังแล้ว ยิปซีดูจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับหนังผีดูดเลือดเลยจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นดารารับเชิญมันทุกเรื่องไป ในตำนานก็เช่นกันครับ ยิปซีมีบทบาทกับแวมไพร์อย่างใกล้ชิด วรรณกรรมชื่อดังของ บราม สโตเกอร์ ที่ชื่อ"แดร็คคิวล่า"นั้น ก็ได้กล่าวถึงสาวยิปซีที่คอยดูแลโลงของแดร็คคิวล่าอย่างจงรัก

ในความเป็นจริง ชาวยิปซีมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียทางตอนเหนือ และอพยพย้ายถิ่นฐานเรื่อยมาจนเข้ามาถึงยุโรปราวๆศตวรรษที่ 14 ไล่เลี่ยกันกับการถือกำเนิดของจอมทรราชย์ วลาด แดร็คคิวล่า ความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรมอันเร้นลับของชาวยิปซีมีอิทธิพลกับยุโรปในตอนนั้นไม่น้อย โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องวิญญาณและโลกหลังความตาย ไม่นานนัก ตำนานต่างๆที่เล่าขานกันมาในหมู่ยิปซีก็ถูกผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องเล่าของยุโรปแถบโรมาเนียและตุรกี แน่นอน เรื่องเหล่านี้รวมเรื่องแวมไพร์เข้าไปด้วย


บ้านเดิมของเหล่ายิปซี อินเดีย แหล่งรวมแห่งปรัชญาตะวันออก ที่นี่มีเรื่องเล่าลือและตำนานเกี่ยวกับสิ่งที่คล้ายแวมไพร์อยู่มากมาย เป็นต้นว่าภูต(Bhuta) วิญญานของคนที่ตายแบบผิดปกติชนิดวิญญาณยังสิงสู่อยู่ในร่าง ภูตเหล่านี้จะเดินท่อมๆไปตามถนนสายเปลี่ยวในยามค่ำคืน คอยทำร้ายและดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร

แวมไพร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอินเดียเห็นจะได้แก่ Kali หรือเจ้าแม่กาลีนั่นเอง นางนับเป็นภาคหนึ่งของพระแม่ทุรคา กาลีมีรูปร่างที่ดุร้าย สวมสายสังวาลย์ที่ทำจากหัวกะโหลก เจ้าแม่กาลีนี้เองที่เป็นต้นกำเนิดเรื่องราวของยิปซีแวมไพร์ เพราะความเชื่อและศรัทธาในตัวพระนางยังติดอยู่กับขาวยิปซีแม้ว่าพวกเขาจะข้ามน้ำข้ามทะเลย้ายรกรากมานับร้อยๆปีแล้วก็ตาม นามของกาลีจะเปลี่ยนไปตามการเรียกของยิปซีแต่ละสาย แวมไพร์ของชาวยิปซีมีอยู่ตัวหนึ่งชื่อมุลโล มีพฤติกรรมที่น่าสนใจเอามากๆ อันว่าเจ้ามุลโลนี้ส่วนมากจะเป็นประเภทผีล้างแค้น กลับมาจากความตายเพื่อทวงหนี้จากศัตรูคู่แค้นด้วยการสูบเลือดเป็นอาหาร แวมไพร์ที่เป็นผู้หญิงยิ่งน่ากลัวใหญ่เลยคะ แวมไพร์พวกนี้สามารถมีชิวิตอย่างคนธรรมดาและดำรงชีพด้วยการกินเรี่ยวแรงสามีจนทำให้พวกเขากระปลกกระเปลี้ย แวมไพร์ของยิปซีนั้นไม่ได้มีแค่คนตายเท่านั้น สัตว์เลี้ยงหรือผักผลไม้ก็เป็นแวมไพร์ได้ทั้งนั้น ฟักทองและแตงกวาที่ถูกทิ้งไว้ในบ้านนานๆโดยไม่มีใครกินนี่ก็ด้วย วันดีคืนดีมันจะเคลื่อนไหวได้เอง ส่งเสียงอึกทึกและมีเลือดหยดไหลออกมาเป็นทางดูน่าสยดสยองมาก

ค้างคาว

หลายครั้งหลายคราวที่มีการพาดพิงถึงแวมไพร์ สมาชิกกิตมศักดิ์ที่มักจะโดนลากเข้ามามีเอี่ยวด้วยก็คือค้างคาว ไม่มีพยายหลักฐานใดๆมาพิสูจน์ได้ว่าแวมไพร์กับค้างคาวเกี่ยวข้องกันยังไง แต่กระนั้นตำนานของแวมไพร์และค้างคาวก็ยังมีคู่กันแบบแยกไม่ออกเหมือนกาแฟกับคอฟฟี่เมทนั่นเชียว


ตำนานของค้างคาวมีมากมายกระจัดกระจายไปทุกซีกโลก ในแอฟริกาใต้ มีเรื่องเล่าของคามาโซตซ์ เจ้าแห่งค้างคาวที่อาศัยในถ้ำยักษ์ใต้พิภพ ในยุโรปเองค้างคาวและนกเค้าแมวมักจะถูกโยงใยเข้ากับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติอยู่บ่อยๆ นั่นคงเป็นเพราะเสียงของมันฟังดูน่ากลัวและพบเห็นได้เฉพาะตอนกลางคืน มนุษย์เรากลัวความมืดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนี่คะ เลยจับเอานกเค้าแมวและค้างคาวเหมารวมเข้าไปกับผู้ที่ชอบหลบเร้นในความมืด(ก็ผะ-อี๋ น่ะแหละ)ซะเลย


อีกสาเหตุหนึ่งที่ค้างคาวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับตำนานแวมไพร์น่าจะมาจากพฤติกรรมของมัน มีค้างคาวอยู่สามสปีชี่ส์ที่ดูดเลือดของสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร ถิ่นฐานของพวกมันอยู่ในทวีปแอฟริกาครับ เจ้าค้างคาวพวกนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับทหารสเปนในยุคล่าอาณานิคมเป็นอย่างมาก เมื่อกลับมาถึงยุโรป ตำนานของค้างคาวดูดเลือดยิ่งถูกเติมสีใส่ไข่ให้น่าฟังโดยเหล่ากลาสี ค้างคาวเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของแวมไพร์ไปด้วยประการฉะนี้ แถมนับว่าความเชื่อนี้ก็มีแต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งนักเขียนใหญ่อย่าง แบรม สโตเกอร์ กับ มัลคอม ไรห์เมอร์ก็ยังเอากับเขาด้วยเลยนี่คะ

โรคตื่นแวมไพร์ในศตวรรษที่ 18

ตำนานแวมไพร์เป็นที่คุ้นเคยกับซีกโลกต่างๆมานมนาน แต่เชื่อมั๊ยคะว่าอังกฤษเพิ่งรู้จักแวมไพร์เอาเมื่อศตวรรษที่ 18 นี้เอง ช่วงนั้นโรคกลัวแวมไพร์ระบาดหนักในยุโรปตะวันออกลามมาถึงอังกฤษ ชาวบ้านชาวช่องกลัวกันมาก ขนาดเดินไปไหนมาไหนยังต้องมีพวงกระเทียมแขวนคอไปด้วย มีการโต้เถียงกันระหว่างกลุ่มผู้นำว่าเรื่องนี้เป็นไปได้จริงหรือไม่ และควรใช้นโยบายใดทำให้บ้านเมื่องสงบลง สมัยนั้นการสื่สารยังไม่เจริญนัก แต่ก็น่าแปลกที่ข่าวลือกระจายข้ามประเทศอย่างรวดเร็ว บางเรื่องก็เป็นตลกร้ายที่เหลือเชื่อเอามากๆ เช่นกองทัพแวมไพร์บุกเข้าพระราชวังในฮังการีเล่นงานจนทหารและคนในวังเป็นแวมไพร์กันหมด แม้แต่ข่าวที่ว่าพระราชวังเครมลินเต็มไปด้วยแวมไพร์ก็ยังมีออกมา ของแถมที่มากับข่าวลือก็คือการออกล่าแวมไพร์ มีคนถูกย่างสดไม่เว้นแต่ละวันในข้อหาเป็นแวมไพร์ หลายรายถูกทรมานอย่างทารุณก่อนเอาลิ่มตอกอก สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวแวมไพร์ของชาวยุโรปได้เป็นอย่างดี


ไม่ว่าแวมไพร์จะมีจริงหรือไม่ก็ตาม เจ้าสิ่งนี้ถือเป็นตัวเสนียดขนานแท้เพราะแม้แต่ตำนานของมันก็ยังสร้างจุดด่างในประวัติศาสตร์เอาไว้มากมาย ถึงยังงั้นก็เถอะคะ ยังมีคนบางจำพวกที่พฤตกรรมโหดร้าย สังหารผลาญชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน นับว่าน่ารังเกียจกว่าแวมไพร์ซะอีก เรื่องของแวมไพร์ยังมีอีกเป็นกระบุง ว่างๆจะหามาเล่าสู่กันฟังนะคะ