วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

นมแพะ

นมแพะกับคุณประโยชน์ทั้ง 6 ประการ

นมแพะทุกหยด ลดภูมิแพ้

เรื่องของนมแพะกับโรคภูมิแพ้มักจะเป็นเรื่องที่พูดถึงกันอยู่เสมอ การดื่มนมแพะเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โรคภูมิแพ้บรรเทาลงและหายในที่สุด เป็นคำยืนยันของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่หันมาบริโภคนมแพะเป็นประจำแทนการกินยา

กลไกการบำบัดโรคของนมแพะ

ไขมันในนมแพะที่มีบทบาทต่อระบบภูมิต้านทาน คือ กรดไขมันจำเป็นซึ่งได้แก่กรดไขมันลิโนเลอิค ซึ่งในน้ำนมแพะมีสูงถึง 0.95 กรัม/100 กรัม และกรดไขมันจำเป็น แอลฟาลิโนเลอิค (กลุ่มโอเมก้า 3 ซึ่งในนมแพะมี อยู่ประมาณ 0.03 กรัม/ 100 กรัม) ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นตัวเพิ่มภูมิต้นทานให้แก่ร่างกาย

นอกจากนี้ยังมี กรดไขมันไม่อิ่มตัวสายโซ่สั้นและกลาง ซึ่งถือว่าเป็นกรดไขมันหลักที่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค ได้แก่ คาโพรอิค, คาพรีลิก และคาพริก ซึ่งมีอยู่ในน้ำนมแพะรวมถึง 0.46 กรัม/ 100 กรัม

อย่างไรก็ตาม ไขมันในน้ำนมแพะยังเป็นตัวลำเลียงวิตามินที่มีส่วนเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายอีกด้วย เช่น วิตามินเอ และอี เป็นต้น

โปรตีนในน้ำนมแพะโดยรวมช่วยในการผลิตและรักษาปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวให้คงที่และช่วยให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย จะมีการหลั่งสารแอนตีฮิสตามินออกมา ส่งผลเสริมสร้างภูมิต้านทานต่อการเกิดภูมิแพ้ในร่างกาย โปรตีนนมโดยเฉพาะซัลเตอีน เป็นองค์ประกอบสำคัญของกลูตาไทโอน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน มีรายงานพบว่า การแบ่งเซลล์และประสิทธิภาพในการดักจับสิ่งแปลกปลอมของเม็ดเลือดขาวลิมไพไซด์ จะมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อเซลล์ขาดสารกลูตาไทโอน

วิตามินในนมแพะมีส่วนช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เช่น

วิตามินเอ ในนมแพะต่างจากนมโค ซึ่งอยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน แต่ในนมแพะจะอยู่ในรูปของวิตามิน เอ โดยตรง ซึ่งจะช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์ที่ดักจับเชื้อโรค ที่เข้าสู่ร่างกายและยังทำหน้าที่เป็นด่านป้องกันเชื้อโรคในส่วนเยื่อบุผนังปาก ปอด และ ลำไส้ ฯลฯ

วิตามิน บี6 ช่วยเซลล์เม็ดเลือดขาวสร้างแอนติบอดี้

วิตามิน ซี ป้องกันเซลล์เม็ดเลือดนิวโทรฟิล ซึ่งทำหน้าที่ดักจับเชื้อแบคทีเรียและช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย หรือสิ่งสกปรกที่เกิดจากสภาพแวดล้อม สารเคมี และควันบุหรี่

วิตามิน ดี ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม จากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ทำให้กระดูกแข็งแรง และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้

วิตามิน อี ช่วยเพิ่มการสร้างแอนติบอดี้ ช่วยสร้างเสริมการทำงานของ ทีเซลล์ ซึ่งทำหน้าที่หลักในการป้องกันการติดเชื้อร่วมกับ บีเซลล์

นอกจากนี้ วิตามิน อี ยังเป็นวิตามินที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและยังช่วยปรับสมดุลของน้ำและไขมันในชั้นผิวหนังและรักษาความชุ่มชื่นของผิวพรรณให้สดใส เรียบเนียนอีกด้วย อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายสามารถทนต่อรังสี UV ในแสงแดดได้ดีขึ้น

พบว่าในเกลือแร่ในนมแพะ ได้แก่ แคลเซียมมีฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ด้วย โดย

แคลเซียม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวกับลิมโพไซด์ในการจับเกาะสิ่งแปลกปลอม เพิ่มการหลั่งสารในตัวกลาง ปฏิกิริยาการสร้างภูมิคุ้มกัน

ซิลีเนียม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์ที่ทำหน้าที่ภูมิคุ้มกัน สังกะสี ช่วยสร้างและเสริมการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว นิวโทรฟิล และเซลล์ดักจับ รวมทั้งป้องกันเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายโดยการลดไซโตไคท์ ซึ่งควบคุมการบวมอักเสบและสร้างบีและที เซลล์ให้แก่ร่างกาย

ลดปัญหาเรื่องไขมัน ป้องกันได้ด้วยนมแพะ

อันตรายของการมีระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดสูง

เมื่อร่างกายมีระดับคลอเลสเตอรอลสูงเกินความต้องการ ไม่ว่าจะเกิดจากการที่ร่างกายสร้างขึ้นจากตับหรือได้รับอาหาร ปริมาณคลอเลสเตอรอลส่วนเกินจะไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดและมีแนวโน้มที่จะเกาะกับผนังเส้นเลือด เมื่อมากขึ้นจะทำให้เส้นเลือดมีขนาดเล็กลง ความยืดหยุ่นของเส้นเลือดน้อยลงโดยเฉพาะเส้นเลือดหัวใจ ซึ่งเรียกว่า Atherosclerosis มีผลทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลง ส่งผมให้เกิดโรคหัวใจหรือเส้นเลือดในสมองแตกได้ หรืออาจเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ หรือเป็นโรคบางอย่าง เช่น โรคไต โรคตับ โรคเบาหวานที่ไม่ได้รับการรักษา โรคต่อมไทรอยด์ทำงานได้น้อย เป็นต้น และไม่ว่าคลอเลสเตอรอลในเลือดจะสูงจากสาเหตุใดก็ตาม ก็สามารถคุกคามให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งได้เหมือนกัน โอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือดสูง ร่างกายปกติระดับคลอเลสเตอรอลอยู่ในช่วง 150-250mg/dl ส่วนระดับของไตรกลีเซอไรด์จะอยู่ระหว่าง 35-160 mg/dl ซึ่งหากผลการตรวจสอบระดับคลอเลศเตอรอลสูง มักจะพบระดับของไตรกลีเซอไรด์สูงตามด้วยปัจจัยเสี่ยงต่อผู้มีระดับคลอเลสเตอรอลสูง ได้แก่ ผู้ที่สูบบุหรี่และผู้ที่มีความดันโลหิตสูงจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจสูง

กลไกการบำบัดโรคของนมแพะ

คุณสมบัติพิเศษของนมแพะในเรื่องดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับกรดไขมันที่มีอยู่ในนมแพะ ได้แก่ คาโพรอิก คาพรีลิก และคาพริก กรดไขมันเหล่านี้ จะช่วยสลายการสะสมคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และยังช่วยปรับระดับไขมันในเลือดให้เลือดหมุนเวียนได้สะดวก จึงช่วยลดการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและโรคหัวใจขาดเลือดได้

ดังนั้น เพื่อเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย โดยเฉพะคนที่เป็นภูมิแพ้ควรดื่มนมแพะประจำ ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิต้านทานมากขึ้น

นอกจากนี้ นมแพะยังมีกรดไขมันชนิดพิเศษที่วงการแพทย์ให้ความสนใจวามีส่วนช่วยยับยั้งการสร้างคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และยังช่วยสลายนิ่วในถุงน้ำดีได้อีกด้วย

วิธีเลือกซื้อนมแพะที่มีมาตรฐาน ควรพิจารณาจาก

- นมแพะที่ได้ อย. จากกระทรวงสาธารณสุข

- นมแพะที่ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรส์ เพื่อความสะอาด และคงความสดของน้ำนมได้ดีกว่าวิธีอื่น

- นมแพะที่ผลิตจากโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน ซึ่งมีการควบคุมคุณภาพ และมีประสิทธิภาพในการผลิตโดยปศุสัตว์และผ่านมาตรฐานสินค้าคุณภาพ

แวมไพร์

ตำนานแวมไพร์

ตำนานแวมไพร์กับเรื่องราวความเป็นมาของแวมไพร์จากแหล่งต่างๆทั่วโลก
แวมไพร์ เรื่องจริงหรืออิงนิยาย

ตำนานแวมไพร์มีมานานนับเป็นพันๆปี เรียกว่าอยู่คู่กับประวัติศาสตร์มนุษย์ก็คงจะได้

แวมไพร์มิได้หมายถึงผีดูดเลือดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ชนชาติต่างๆทั่วโลกต่างก็มีแวมไพร์ในแบบฉบับของตัวเอง ไล่ไปตั้งแต่แวมไพร์ฝรั่งผมบลอนด์ แวมไพร์จีน แวมไพร์ญี่ปุ่น ไปจนถึงแวมไพร์มาเลเซีย แบบที่เรียกกันว่า เพนังกะลัง

อย่างไรก็ตาม แวมไพร์ที่เราๆท่านๆคุ้นเคยกัน ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะกลายพันธ์ และภาพลักษณ์ไปหมด ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจาก อิทธิพลของหนังสือและภาพยนต์ ซึ่งร้อยทั้งร้อย ล้วนมาจากยุโรปและอเมริกาทั้งสิ้น จุดกำเนิดของตำนานแวมไพร์มาจากตะวันออกไกลครับ มันกระจายมาโดยผ่านเส้นทางจากจีน - ธิเบต - อินเดีย - ผ่านเส้นทางที่เรียกกันว่าทางสายไหมเข้าสู่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตำนานนี้กระจายไปทั่วประเทศแถบทะเลดำ คาบสมุทรบอลข่าน รวมไปถึงฮังการี่ และดินแดนที่เราคุ้นเคยกัน ทรานซิลวาเนีย

ปัจจุบัน แวมไพร์ในความนึกคิดของเรามักจะเป็นไปในแนวของ ปีศาจดูดเลือด, ผู้ที่ฟื้นคืนชีพจากความตาย, ดำรงชีวิตได้เฉพาะยามค่ำคืน สามารถกลายร่างเป็นค้างคาวได้ คุณสมบัติพวกนี้เป็นแวมไพร์ของยุโรป และในหนังผีครับ จริงๆแล้วแวมไพร์มีคุณสมบัติที่หลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เรามาดูกันดีกว่าว่า แวมไพร์ของแต่ละชนชาตินั้นเป็นอย่างไร

SLAVIC VAMPIRES

ชาวสลาฟเป็นชาติที่ร่ำรวยเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์มากที่สุดในยุโรปตะวันออก ดินแดนนี้กินพื้นที่ตั้งแต่ รัสเซีย บุลแกเรีย เซอร์เบียร์ จนกระทั่งถึงโปแลนด์ ความเชื่อพวกนี้ฝังรกรากมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 แน่ะ แหล่งชุมนุมแวมไพร์ที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่ที่ เมือง Magyars ซึ่งปัจจุบันเป็นพรมแดนต่อกันระหว่างประเทศฮังการีกับโรมาเนีย คำว่าแวมไพร์ก็มาจากภาษาของพวกเขานี่แหละครับ แวมไพร์พวกนี้จะมีเล็บมือและผมที่ทั้งยาวทั้งสกปรก มุมปากมีคราบเลือดเกรอะกรัง ไม่ชอบสุงสิงกับผู้คน วิธีการปราบแวมไพร์ของชาวสลาฟก็คือจับทำบาร์บีคิวครับ เผาทั้งเป็นเลย หรือไม่ก็พรมน้ำมนต์ที่ได้มาจากโบสถ์ใส่พวกมันก็ได้


ROMANIA

เนื่องจากโรมาเนียถูกแวดล้อมไปด้วยประเทศของชนชาติสลาฟ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าแวมไพร์ของพวกเค้าจะกระเดียดไปทางแวมไพร์เชื่อสายสลาฟนิดๆ ภาษาพื้นเมืองของโรมาเนียนั้น เรียกแวมไพร์ว่า Strigoi ครับ อาจจะหมายถึง นกฮูกแก่ๆ หรือปีศาจก็ได้ทั้งนั้น Strigoi มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน Strigoi ส่วนมากคือพวกผู้ใช้คาถา ซึ่งจะกลายเป็นแวมไพร์เมื่อตายแล้ว เจ้า Strigoi พวกนี้จะถอดวิญญาณออกจากร่างไปเพื่อชุมนุมกันในคืนพระจันทร์เต็มดวง หรือไม่ก็ออกตระเวนดูดเลือด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกในครอบครัว หรือไม่ก็เพื่อนบ้านใกล้เคียง
คนที่เกิดมาโดยมีสัญญลักษณ์ของปีศาจ (มีหาง เขี้ยวงอก ขนดกรุงรัง) หรือคนที่ตายอย่างผิดธรรมชาติ หรือตายโดยที่ยังไม่ได้ทำพิธีรับศีล พวกนี้มีสิทธิจะเป็นแวมไพร์ได้ทั้งนั้น ถ้าครอบครัวไหนมีลูกเพศเดียวกันถึงเจ็ดคน คนที่เจ็ดนั่นแหละครับ แวมไพร์มาเกิด พวกผู้หญิงแถวนั้นเวลาท้องพวกเธอต้องกินเกลือครับ เพื่อป้องกันลูกที่อยู่ในครรภ์ ส่วนพวกสุดท้ายที่มีสิทธิเป็นแวมไพร์ชัวร์ๆ คือพวกที่โดนแวมไพร์กัดเอา

แวมไพร์ เรื่องจริงหรืออิงนิยาย

ยังมีตำนานอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวพันกับเรื่องของแวมไพร์อย่างใกล้ชิดครับ คิดว่าเราๆท่านๆก็คงคุ้นเคยกัน นั่นคือเรื่องราวของมนุษย์หมาป่านั่นเอง ตำราเค้าว่าไว้ว่ามีมนุษย์พวกหนึ่ง เมื่อถึงวันดีคืนดี จะมีปฏิกิริยากับดวงจันทร์ หรือดวงอาทิตย์ จนสามารถกลายร่างเป็นหมาป่า หมาดำ หรือแม้แต่หมูได้(อันนี้ไม่เคยได้ยินแฮะ^^)สิ่งกลายพันธ์พวกนี้ศัพท์วิชาการเค้าเรียกLycanthropy ชาวโรมาเนียมีตำนานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากมายพอๆกับแวมไพร์เลยทีเดียว

ว่ากันว่าแวมไพร์นั้นจะแหวกหลุมศพขึ้นมาบนพื้นโลกเมื่อถึงเวลาอันควร มันมีใบหน้าที่ซีดเซียว ลมหายใจเหม็นเปรี้ยว และไม่ยอมแตะต้องอาหารที่มีส่วนประกอบของกระเทียมอย่างเด็ดขาด บ้านใดที่สงสัยว่าสมาชิกในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้วจะกลายเป็นแวมไพร์มักจะไปเปิดหลุมศพดูว่าศพยังอยู่หรือไม่ เค้ามีเวลาในการสำรวจหลุมศพดังนี้คะ ถ้าเป็นเด็กก็สามปีหลังการตาย ห้าปีสำหรับหนุ่มสาว และเจ็ดปีถึงจะเปิดสำหรับผู้ใหญ่ที่โตแล้ว

วิธีสังหารแวมไพร์ดูจะคล้ายๆกันทุกที่เลยคะ กล่าวคือ เมื่อชาวโรมาเนียพบหรือสงสัยว่าใครเป็นแวมไพร์ จะโดนจับเอากระเทียมยัดจนเต็มปากแล้วเอามาเผาไฟ หลุมศพใดที่ต้องสงสัยว่าเป็นแหล่งพำนักกายของแวมไพร์ก็จะมีการยิงกระสุนเงินทะลุฝาโลงเข้าไป ถ้าถุกแจ็คพอทเจอแวมไพร์ โลงนั้นจะมีไฟลุกพรึ่บดูสวยงามทีเดียวเชียวคะ(ฟังดูเว่อร์ๆ)

GYPSIES AND VAMPIRES

สำหรับคอหนังแล้ว ยิปซีดูจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับหนังผีดูดเลือดเลยจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นดารารับเชิญมันทุกเรื่องไป ในตำนานก็เช่นกันครับ ยิปซีมีบทบาทกับแวมไพร์อย่างใกล้ชิด วรรณกรรมชื่อดังของ บราม สโตเกอร์ ที่ชื่อ"แดร็คคิวล่า"นั้น ก็ได้กล่าวถึงสาวยิปซีที่คอยดูแลโลงของแดร็คคิวล่าอย่างจงรัก

ในความเป็นจริง ชาวยิปซีมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียทางตอนเหนือ และอพยพย้ายถิ่นฐานเรื่อยมาจนเข้ามาถึงยุโรปราวๆศตวรรษที่ 14 ไล่เลี่ยกันกับการถือกำเนิดของจอมทรราชย์ วลาด แดร็คคิวล่า ความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรมอันเร้นลับของชาวยิปซีมีอิทธิพลกับยุโรปในตอนนั้นไม่น้อย โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องวิญญาณและโลกหลังความตาย ไม่นานนัก ตำนานต่างๆที่เล่าขานกันมาในหมู่ยิปซีก็ถูกผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องเล่าของยุโรปแถบโรมาเนียและตุรกี แน่นอน เรื่องเหล่านี้รวมเรื่องแวมไพร์เข้าไปด้วย


บ้านเดิมของเหล่ายิปซี อินเดีย แหล่งรวมแห่งปรัชญาตะวันออก ที่นี่มีเรื่องเล่าลือและตำนานเกี่ยวกับสิ่งที่คล้ายแวมไพร์อยู่มากมาย เป็นต้นว่าภูต(Bhuta) วิญญานของคนที่ตายแบบผิดปกติชนิดวิญญาณยังสิงสู่อยู่ในร่าง ภูตเหล่านี้จะเดินท่อมๆไปตามถนนสายเปลี่ยวในยามค่ำคืน คอยทำร้ายและดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร

แวมไพร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอินเดียเห็นจะได้แก่ Kali หรือเจ้าแม่กาลีนั่นเอง นางนับเป็นภาคหนึ่งของพระแม่ทุรคา กาลีมีรูปร่างที่ดุร้าย สวมสายสังวาลย์ที่ทำจากหัวกะโหลก เจ้าแม่กาลีนี้เองที่เป็นต้นกำเนิดเรื่องราวของยิปซีแวมไพร์ เพราะความเชื่อและศรัทธาในตัวพระนางยังติดอยู่กับขาวยิปซีแม้ว่าพวกเขาจะข้ามน้ำข้ามทะเลย้ายรกรากมานับร้อยๆปีแล้วก็ตาม นามของกาลีจะเปลี่ยนไปตามการเรียกของยิปซีแต่ละสาย แวมไพร์ของชาวยิปซีมีอยู่ตัวหนึ่งชื่อมุลโล มีพฤติกรรมที่น่าสนใจเอามากๆ อันว่าเจ้ามุลโลนี้ส่วนมากจะเป็นประเภทผีล้างแค้น กลับมาจากความตายเพื่อทวงหนี้จากศัตรูคู่แค้นด้วยการสูบเลือดเป็นอาหาร แวมไพร์ที่เป็นผู้หญิงยิ่งน่ากลัวใหญ่เลยคะ แวมไพร์พวกนี้สามารถมีชิวิตอย่างคนธรรมดาและดำรงชีพด้วยการกินเรี่ยวแรงสามีจนทำให้พวกเขากระปลกกระเปลี้ย แวมไพร์ของยิปซีนั้นไม่ได้มีแค่คนตายเท่านั้น สัตว์เลี้ยงหรือผักผลไม้ก็เป็นแวมไพร์ได้ทั้งนั้น ฟักทองและแตงกวาที่ถูกทิ้งไว้ในบ้านนานๆโดยไม่มีใครกินนี่ก็ด้วย วันดีคืนดีมันจะเคลื่อนไหวได้เอง ส่งเสียงอึกทึกและมีเลือดหยดไหลออกมาเป็นทางดูน่าสยดสยองมาก

ค้างคาว

หลายครั้งหลายคราวที่มีการพาดพิงถึงแวมไพร์ สมาชิกกิตมศักดิ์ที่มักจะโดนลากเข้ามามีเอี่ยวด้วยก็คือค้างคาว ไม่มีพยายหลักฐานใดๆมาพิสูจน์ได้ว่าแวมไพร์กับค้างคาวเกี่ยวข้องกันยังไง แต่กระนั้นตำนานของแวมไพร์และค้างคาวก็ยังมีคู่กันแบบแยกไม่ออกเหมือนกาแฟกับคอฟฟี่เมทนั่นเชียว


ตำนานของค้างคาวมีมากมายกระจัดกระจายไปทุกซีกโลก ในแอฟริกาใต้ มีเรื่องเล่าของคามาโซตซ์ เจ้าแห่งค้างคาวที่อาศัยในถ้ำยักษ์ใต้พิภพ ในยุโรปเองค้างคาวและนกเค้าแมวมักจะถูกโยงใยเข้ากับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติอยู่บ่อยๆ นั่นคงเป็นเพราะเสียงของมันฟังดูน่ากลัวและพบเห็นได้เฉพาะตอนกลางคืน มนุษย์เรากลัวความมืดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนี่คะ เลยจับเอานกเค้าแมวและค้างคาวเหมารวมเข้าไปกับผู้ที่ชอบหลบเร้นในความมืด(ก็ผะ-อี๋ น่ะแหละ)ซะเลย


อีกสาเหตุหนึ่งที่ค้างคาวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับตำนานแวมไพร์น่าจะมาจากพฤติกรรมของมัน มีค้างคาวอยู่สามสปีชี่ส์ที่ดูดเลือดของสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร ถิ่นฐานของพวกมันอยู่ในทวีปแอฟริกาครับ เจ้าค้างคาวพวกนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับทหารสเปนในยุคล่าอาณานิคมเป็นอย่างมาก เมื่อกลับมาถึงยุโรป ตำนานของค้างคาวดูดเลือดยิ่งถูกเติมสีใส่ไข่ให้น่าฟังโดยเหล่ากลาสี ค้างคาวเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของแวมไพร์ไปด้วยประการฉะนี้ แถมนับว่าความเชื่อนี้ก็มีแต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งนักเขียนใหญ่อย่าง แบรม สโตเกอร์ กับ มัลคอม ไรห์เมอร์ก็ยังเอากับเขาด้วยเลยนี่คะ

โรคตื่นแวมไพร์ในศตวรรษที่ 18

ตำนานแวมไพร์เป็นที่คุ้นเคยกับซีกโลกต่างๆมานมนาน แต่เชื่อมั๊ยคะว่าอังกฤษเพิ่งรู้จักแวมไพร์เอาเมื่อศตวรรษที่ 18 นี้เอง ช่วงนั้นโรคกลัวแวมไพร์ระบาดหนักในยุโรปตะวันออกลามมาถึงอังกฤษ ชาวบ้านชาวช่องกลัวกันมาก ขนาดเดินไปไหนมาไหนยังต้องมีพวงกระเทียมแขวนคอไปด้วย มีการโต้เถียงกันระหว่างกลุ่มผู้นำว่าเรื่องนี้เป็นไปได้จริงหรือไม่ และควรใช้นโยบายใดทำให้บ้านเมื่องสงบลง สมัยนั้นการสื่สารยังไม่เจริญนัก แต่ก็น่าแปลกที่ข่าวลือกระจายข้ามประเทศอย่างรวดเร็ว บางเรื่องก็เป็นตลกร้ายที่เหลือเชื่อเอามากๆ เช่นกองทัพแวมไพร์บุกเข้าพระราชวังในฮังการีเล่นงานจนทหารและคนในวังเป็นแวมไพร์กันหมด แม้แต่ข่าวที่ว่าพระราชวังเครมลินเต็มไปด้วยแวมไพร์ก็ยังมีออกมา ของแถมที่มากับข่าวลือก็คือการออกล่าแวมไพร์ มีคนถูกย่างสดไม่เว้นแต่ละวันในข้อหาเป็นแวมไพร์ หลายรายถูกทรมานอย่างทารุณก่อนเอาลิ่มตอกอก สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวแวมไพร์ของชาวยุโรปได้เป็นอย่างดี


ไม่ว่าแวมไพร์จะมีจริงหรือไม่ก็ตาม เจ้าสิ่งนี้ถือเป็นตัวเสนียดขนานแท้เพราะแม้แต่ตำนานของมันก็ยังสร้างจุดด่างในประวัติศาสตร์เอาไว้มากมาย ถึงยังงั้นก็เถอะคะ ยังมีคนบางจำพวกที่พฤตกรรมโหดร้าย สังหารผลาญชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน นับว่าน่ารังเกียจกว่าแวมไพร์ซะอีก เรื่องของแวมไพร์ยังมีอีกเป็นกระบุง ว่างๆจะหามาเล่าสู่กันฟังนะคะ

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

กินน นกิ๊นมีประโบชน์อย่างไร



คะน้า
1. การกินคะน้าตาไม่เป็นต้อ
คะน้าเป็นผักหาง่ายในท้องตลาด เป็นผักที่อุดมไปด้วย วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และโฟเลต นอกจากนี้ยังมีสาร " ลูทีน " ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กิน นอกจากนี้การกินคะน้าเป็นประจำ ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอด และเต้านมอีกด้วย

เห็ด
2. การกินเห็ดป้องกันกระดูกพรุน
คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าการขาดวิตามินดีและแคลเซียม จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง ยิ่งอยู่ในวัยสูงอายุก็อาจเพิ่มอัตราความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ล่าสุดนักวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีธาตุทองแดงเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ และการขาดธาตุทองแดงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้อาการกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก ดังนั้นการกินอาหารที่มีธาตุทองแดงมาก เช่น เห็ด ปู กุ้งมังกร หอยนางรม ลูกพรุน ปลาซาร์ดีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น


แอ็ปเปิ้ล
3. การกินแอปเปิลให้ปอดแข็งแรง
ไม่ว่าจะกินแอปเปิลเขียวหรือแดงก็ดีต่อปอดเป็นที่สุด เพราะแอปเปิลมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ " เคอร์ซีทิน " สารตัวนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดอย่างได้ผล นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย วิธีการกินแอปเปิลให้ได้สารเคอร์ซีทีนมากที่สุดก็คือ ต้องกินผลสดทั้งเปลือก ซึ่งจะให้ได้รับสาร " เพกทิน " จากเปลือกแอปเปิลเพิ่มขึ้นด้วย สารเพกทินมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย ส่วนคุณสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักการกินแอปเปิลจะช่วยให้อิ่มนาน ไม่รู้สึกหิว เพราะในแอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีถึง 75 เปอร์เซ็นต์ การกินแอปเปิลสด ได้ประโยชน์มากมาย


องุ่น
4. การกินองุ่นทั้งเมล็ดช่วยชะลอความแก่
ใครที่อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวสองพันปี เรามีวิธีการชะลอความชราด้วยการกินผลไม้ที่หาง่าย ๆ เช่น องุ่น และต้องเคี้ยวเมล็ดองุ่นด้วย เพราะในเมล็ดองุ่นมีสาร " โอพีซี " (oligomeric proanthocyanidin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า องุ่นจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาสุขภาพจากภายใน ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยชะลอความชราและเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตาอีกด้วย
ขอให้สุขภาพแข็งแรงทุก ๆๆ คนเลย

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

แวมไพร์

แวมไพร์

แวมไพร์ (อังกฤษ: Vampire) ผีชนิดหนึ่งตามความเชื่อของชาวยุโรป ในยุคกลาง เชื่อว่าเป็นผีดิบ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยง โดยที่แวมไพร์จะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวันแพ้แสงแดด แวมไพร์จะหลบซ่อนอยู่ในโลงของตนหรือในหลุมในเวลากลางวัน สามารถแปลงร่างได้หลายแบบ เช่น ค้างคาว, นกฮูก, หมาป่า, กบ, คางคก, แมลงเม่า, งูพิษ เป็นต้น สามารถกำบังกายหายตัวได้ ไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อนในกระจก มีแรงมากเหมือนผู้ชาย 20 คน สิ่งที่จะกำราบแวมไพร์ได้คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน, น้ำมนตร์ หรือแม้กระทั่งสมุนไพรกลิ่นแรงบางชนิด เช่น กระเทียม วิธีฆ่าแวมไพร์มีมากมาย เช่น ตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ เผา หรือ ตัดหัวด้วยจอบของสัปเหร่อ บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของมัน จะกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย และกลายเป็นสาวกของแวมไพร์ตนที่ดูดเลือดตัวเอง
ชาวยุโรปในยุคกลางนั้น หวาดกลัวแวมไพร์มาก ผู้ที่สงสัยว่าเป็นแวมไพร์ จะตกอยู่ในสถานะเดียวกับ
แม่มด หรือ มนุษย์หมาป่า คือ ถูกตัดสินลงโทษด้วยการเอาถึงชีวิต มีวิธีการป้องกันการรุกรานของแวมไพร์หลายวิธี เช่น บางหมู่บ้านจะโปรยเมล็ดข้าวไว้บนหลังคาบ้าน เพราะเชื่อว่าแวมไพร์จะง่วนกับการนับเมล็ดข้าวเป็นการถ่วงเวลาจนรุ่งเช้า หรือ โรยเศษขนมปังไว้ตั้งแต่สุสานให้แวมไพร์เดินเก็บเศษขนมนั้นวนเวียนไปมา หรือแม้แต่การวางไม้กางเขนหรือดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมเพื่อเป็นการพันธนาการไว้ในโลง
เรื่องราวของผีแวมไพร์ มีมากมาย ที่เป็นนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรม โดยวรรณกรรมที่ว่าถึงแวมไพร์ที่เก่าแก่ที่สุด มีมาตั้งแต่สมัย
โรมัน วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของแวมไพร์คือ เรื่องแดรกคูลา ของ บราม สโตกเกอร์ ที่โด่งดังจนมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร ละครเวที หรือแม้แต่กระทั่งภาพยนตร์การ์ตูนมากมายตราบจนปัจจุบัน เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Nosferatu : A Symphony of Horror ในปี ค.ศ. 1922 เป็นต้น
เป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องของแวมไพร์ที่สามารถแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ อาจมีที่มาจากที่ภูมิภาค
อเมริกากลางและทวีปอเมริกาใต้ มีค้างคาวขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ Desmodontinae มีพฤติกรรมดูดเลือดสัตว์ที่ใหญ่กว่าเป็นอาหารในเวลากลางคืน ซึ่งค้าวคาวในวงศ์นี้ก็ได้มีการเรียกชื่อสามัญว่า แวมไพร์ เช่นกัน